ศิลปะตะวันตก

ศิลปะมีความเป็นมาที่ยาวนาน จนอาจเรียกได้ว่าเมื่อมนุษย์ถือกำเนิดขึ้น ศิลปะก็ได้ถือกำเนิดขึ้นเช่นกัน นั่นก็เพราะมนุษย์เป็นผู้มองเห็นความงามแห่งศิลปะ และมนุษย์ก็เป็นผู้สร้างศิลปะ ดังที่เราสามารถศึกษาได้จาก ความเป็นมาของ “ศิลปะตะวันตก”

แผนภูมิ ศิลปะตะวันตก
ศิลปะตะวันตก
สมัย
        ยุคกลางหรือยุคมืด

* ศิลปะคริสเตียนตอนต้น (Early Christian Art)
ศตวรรษ 1-10
* ศิลปะบีแซนไตน์ (Byzantine)
ศตวรรษ 4-13
* ศิลปะโรมาเนสก์ (Romanesque)
ศตวรรษ 9-13
ยุคฟื้นฟูศิลปะวิทยา ตอนต้น (Early Renaissance)
ศตวรรษ 14-15
ยุคฟื้นฟูศิลปะวิทยาขั้นสูง (High Renaissance)
ทศวรรษ 1450-1550
แมนเนอริสม์ (Mannerism, ลัทธิเกินพอดี)
ศตวรรษ 15-16
บาโรค (Baroque)
ศตวรรษ 16-17
โรโคโค (Rococo)
ศตวรรษ 17-18
นีโอ-คลาสสิสม์ (Neo-Classicism, ลัทธิคลาสสิคใหม่)
ทศวรรษ 1760-1830
โรแมนติสิสม์ (Romanticism, จินตนิยม)
ทศวรรษ 1770-1840
เรียลลิสม์ (Realism, สัจนิยม)
ศักราช 1845-1880
อิมเพรสชันนิสม์ (Impressionism, ลัทธิประทับใจ)
ทศวรรษ 1870-1890
นีโอ-อิมเพรสชันนิสม์ (Neo-Impressionism, ลัทธิประทับใจใหม่)
ทศวรรษ 1880-1900
โพสต์-อิมเพรสชันนิสม์ (Post-Impressionism, ลัทธิประทับใจยุคหลัง)
ศักราช 1880-1893
อาร์ต นูโว (Art Nouveau, นวศิลป์)
ศักราช 1880-1914
ซิมโบลิสม์ (Symbolism, สัญลักษณ์นิยม)
ศักราช 1890-1899
โฟวิสม์ (Fauvism)
ศักราช 1903-1908
ดีบรึกเค่/เดอะ บริดจ์ (Die Br?cke/The Bridge)
ศักราช 1905-1913
คิวบิสม์ (Cubism, บาสกนิยม)
ศักราช 1908-1918
ฟิวเจอริสม์ (Futurism, อนาคตนิยม)
ศักราช 1909-1929
แดร์ บลาว ไรเตอร์/เดอะ บลู ไรเดอร์ (Der Blaue Reiter/The Blue Rider)
ศักราช 1911-1914
คอนสตรัคติวิสม์ (Constructivism, ลัทธิเค้าโครง)
ศักราช 1913-1929
ดาด้า (Dada)
ศักราช 1915-1923
ซูพรีมาติสม์ (Suprematism, อนุตรศิลป์)
ศักราช 1915-1923
เดอ สตีล/เดอะ สไตล์ (De Stijl/The Style)
ศักราช 1917-1931
อาร์ต เดคโค (Art Deco)
ศักราช 1918-1939
นิว อ็อบเจ็คติวิตี้ (Neue Sachlichkeit / New Objectivity)
ศักราช 1920-1932
เซอร์เรียลลิสม์ (Surrealism, ลัทธิเหนือจริง)
ศักราช 1924-1945
แอ็บสแตรค เอ็กซ์เพรสชันนิสม์ (Abstract Expressionism, ลัทธิสำแดงพลังอารมณ์แนวนามธรรม)
ปลายทศวรรษ 1940-ต้น 1960
โคบร้า (Cobra)
ปลายทศวรรษ 1940-ต้น 1950
คัลเลอร์-ฟิลด์ เพ้นติ้ง (Color-Field Painting)
ต้นทศวรรษ 1950-ปลาย 1960
นีโอ-ดาด้า (Neo-Dada, ดาด้าใหม่)
ต้นทศวรรษ 1950-กลาง 1960
นูโว-เรียลลิสม์ (Nouveau Realisme)
กลางทศวรรษ 1950-ปลาย 1960
พ็อพ อาร์ต (Pop Art, ศิลปะประชานิยม)
กลางทศวรรษ 1950-ปลาย 1960
ฮาร์ด-เอดจ์ เพ้นติ้ง (Hard-Edge Painting, จิตรกรรมขอบคม)
กลางทศวรรษ 1950-ปลาย 1960
แอ็คชัน/แอ็คชันนิสม์ (Action/Actionism)
กลางทศวรรษ 1950-กลาง 1970
สแน็ปช็อท เอสเธติค (Snapshot Aesthetic)
กลางทศวรรษ 1950-ปลาย 1970
ฟลัคซุส (Fluxus)
ต้นทศวรรษ 1960-ปลาย 1960
เชฟด์ แคนวาส (Shaped Canvas)
ต้นทศวรรษ 1960-ปลาย 1960
มินิมอลลิสม์ (Minimalism, สารัตถศิลป์)
ต้นทศวรรษ 1960-กลาง 1970
แฮ็พเพ็นนิง (Happening)
ต้นทศวรรษ 1960-กลาง 1960
อ็อพ อาร์ต (Op Art)
ต้นทศวรรษ 1960-กลาง 1960
โพรเซส อาร์ต (Process Art)
ต้นทศวรรษ 1960-กลาง 1970
โฟโต้-เรียลลิสม์ (Photo-Realism)
ต้นทศวรรษ 1960-ปลาย 1970
อาร์เต้ โพเวร่า (Arte Povera)
ต้นทศวรรษ 1960-ปลาย 1970
คอนเซ็ปชวล อาร์ต (Conceptual Art, มโนทัศนศิลป์)
ต้นทศวรรษ 1960-ปลาย 1970
เอิร์ธ อาร์ต (Earth Art, ภูมิศิลป์)
ต้นทศวรรษ 1960-ปลาย 1970
นิว เรียลลิสม์ (New Realism)
ต้นทศวรรษ 1960-ปลาย 1970
วีดีโอ อาร์ต (Video Art)
ต้นทศวรรษ 1960
คอมพิวเตอร์ อาร์ต (Computer Art)
ต้นทศวรรษ 1960
บอดี้ อาร์ต (Body Art)
กลางทศวรรษ1960-ปลาย 1970
เฟมินิสต์ อาร์ต (Feminist Art, ศิลปะสตรีนิยม)
กลางทศวรรษ 1960
เพอร์ฟอร์แมนซ์ อาร์ต (Performance Art, ศิลปะแสดง)
กลางทศวรรษ 1960
ซาวนด์ อาร์ต (Sound Art)
ปลายทศวรรษ1960-ปลาย1970
อินสตอลเลชัน (Installation, ศิลปะจัดวาง)
ปลายทศวรรษ 1960
มีเดีย อาร์ต (Media Art)
ปลายทศวรรษ 1960
นิว อิมเมจ (New Image)
กลางทศวรรษ1960-ปลาย 1970
แพ็ทเทิร์น แอนด์ เด็คโคเรชัน (Pattern and Decoration)
กลางทศวรรษ1960-ปลาย 1970
กราฟฟิตี้ อาร์ต (Graffiti Art)
กลางทศวรรษ1970-กลาง 1980
นีโอ-เอ็กซ์เพรสชันนิสม์ (Neo-Expressionism,ลัทธิสำแดงพลังอารมณ์ใหม่)
กลางทศวรรษ1970-กลาง 1980
ทรานส์อาวองท์การ์ด (Transavantgarde)
กลางทศวรรษ1970-กลาง 1980
แอ็บโพรพริเอชัน (Appropriation)
ต้นทศวรรษ 1980
นีโอ-จีโอ (Neo-Geo)
ต้นทศวรรษ 1980-กลาง 1980
พาเธทิค อาร์ต (Pathetic Art)
ต้นทศวรรษ 1980-กลาง 1980
ออนไลน์ อาร์ต (Online Art)
ต้นทศวรรษ 1990
สแคทเทอร์ อาร์ต (Scatter Art)
ต้นทศวรรษ 1990
หมายเหตุ : ศตวรรษ, ทศวรรษและศักราชของแผนภูมินี้เป็นปฏิทินของคริสต์ศาสนา
ศิลปะตะวันตก
          “ศิลปะตะวันตก” หมายถึง ศิลปกรรมของกลุ่มประเทศในยุโรป (ปัจจุบันรวมถึงสหรัฐอเมริกาด้วย) มีรากฐานมาจากศิลปะของอียิปต์ และกรีก ซึ่งเป็นวัฒนธรรมยุคโบราณของโลก และพัฒนาขึ้นมาภายใต้อิทธิพลของคริสต์ศาสนา อันเป็นต้นแบบของศิลปะสากลในปัจจุบัน
ประวัติศาสตร์ของยุโรปแบ่งอย่างกว้าง ๆ ได้เป็น 4 ยุค คือ
1. ยุคก่อนประวัติศาสตร์ (Pre-Historic)
2. ยุคโบราณ (Ancient Age)
3. ยุคกลาง (Middle Age)
4. ยุคใหม่ (Modern Age)

ศิลปะยุคกอนประวัติศาสตร
งานศิลปะได้เริ่มมีการสร้างกันมาตั้งแต่ยุคก่อนประวัติศาสตร์ ตั้งแต่ยุคหินเก่าตอนปลาย
ประมาณ 30
,000 - 10,000 ปีมาแล้ว โดยเฉพาะอย่างยิ่งในช่วง 15,000 - 10,000 ปี มนุษย์ได้เขียนภาพสีและขูดขีดบนผนังถ้ำและเพิงผา เป็นภาพสัตว์ การล่าสัตว์และภาพลวดลายเรขาคณิต โดยมีจุดมุ่งหมายเพื่อแสดงออกเกี่ยวกับวิถีชีวิตประจำวันและแสดงความสามารถในการล่าสัตว์ ภาพเหล่านี้
มักระบายด้วยถ่านไม้ และสีที่ผสมกับไขมันสัตว์
  พบได้ทั่วไปในประเทศฝรั่งเศส และภาคเหนือของสเปนที่มีชื่อเสียงมากได้แก่ถ้ำลาสโกซ์ในฝรั่งเศส ถ้ำอัลตามิราในสเปนงานศิลปะใน
นอกจานี้ยังพบวามีการฝงศพ มีการสักบนใบหนา รูจักทําเข็มเย็บหนังสัตวจากกระดูกสัตว
มีการแกะสลักบนวัสดุตางๆ เชน เขาสัตว กระดูก งาชาง และปนภาพสัตว รูจักการเขียนภาพ กําหนดแบงยุคโดยใชผลงานที่มนุษยสรางสรรคขึ้นกอนที่จะรูจักการประดิษฐตัวอักษร แบงเปน
1. ยุคหินเกา (Paleolithic หรือ Old Stone Age) 25,000 - 10,000 B.C.
2. ยุคหินกลาง (Mesolithic หรือ Middle Stone Age) 10,000 - 2,000 B.C.
3. ยุคหินใหม (Neolithic หรือ New Stone Age) 2,000 - 1,500 B.C.

                                             จิตรกรรมผนังถ้ำ ยุคหินเกา
ถ้ำลาสโก แถบลุมน้ำดอรโดน ฝรั่งเศส
15,000 - 10,000 ปกอน ค.ศ.


จิตรกรรมผนังถ้ำ ยุคหินเกา ถ้ำลาสโก แถบลุมน้ำดอรโดน ฝรั่งเศส
15,000 10,000 ปกอน ค.ศ

จิตรกรรมผนังถ้ำ ชื่อ A Horse with Arrows ถ้ำลาสโกแถบลุมน้ำาดอรโดน ฝรั่งเศษ
15,000 10,000 ปกอน ค.ศ.


วัวไบซันแกะจากเขากวางเรนเดียร ถ้ำมาดเลนลุมน้ำดอรโดน
                                     ฝรั่งเศส กอน ค.ศ. 15,000 10,000 ป ขนาด ยาว 4 นิ

ประติมากรรม วีนัสแหงวิลเลนดอร์ฟออสเตรีย หินสลัก สูง 4 ¼ นิ้ว
                                                  กอน ค.ศ. 25,000 20,000 ป


 วัตถุประสงคของการสรางงานยุคหินเกาในยุโรป
( มนุษยนีอัลเดอธัล Neanderthal men )
ผลงานจิตรกรรม
1. นาจะสรางเพื่อสนองความเชื่อเรื่องวิญญาณนิยม เพราะพบรองรอยของการใช
อาวุธขวาง ทิ่มแทง เพื่อขมขวัญศัตรู
2. สรางเพื่อความพึงพอใจ เพราะพบวาบางสถานที่สามารถเขียนภาพไดดวย
ความชํานาญ งดงามเปนอยางยิ่ง
ผลงานประติมากรรม
ใชเปนเครื่องรางของขลัง ยึดเหนี่ยวจิตใจ เชน การสลักรูปสตรีเพศ ซึ่งเปนผูให

ศิลปกรรมยุคหินใหม
เกิดสถาปตยกรรมหรืออนุสาวรียหินตั้ง (Megalithic) มี 3 ลักษณะ คือ
1. หินตั้ง (Menhirs) เปนหินเดี่ยวตั้ง อาจตั้งเดี่ยว หรือหลายแทงเรียงกันไป แสดงถึงสํานึกของมนุษยที่ต่ำตอย จึงอยากมีสวนรวมในเอกภพเพื่อแสดงความภูมิใจ ที่เปนสวนหนึ่งของเอกภพ
Men” แปลวาหิน
Hir” แปลวายาว
- กรีกใช Monolithic ( Mono = หนึ่ง หรือโดดเดี่ยว lithic = หิน )
- ตั้งเปนแถวยาวเรียกวาอะไลนเมนท( Alignment )
- หากตั้งเปนวงกลมเรียกสโตนเฮนจ หรือครอมเลค ( Stonenge or Cromlech )
จุดประสงค
คาดว่านาจะทําขึ้นเพื่อประกอบพิธีกรรมทางศาสนาในการบวงสรวงพระอาทิตย
หรือเพื่อคํานวณและสังเกตฤดูกาลหรือดวงดาว   

หินเดี่ยว (menhirs) ตั้งเรียงแถว หรืออะไลนเมนท (Alignment)
เมืองคารนัค ฝรั่งเศส กอน ค.ศ. 4,000 ป

  
2. โตะหิน (Dolmen) เปนหิน ตั้งแต 3 แทง โดย 2 แทงตั้งเปนฐาน อีกกอนวางพาดบน   ลักษณะคลายรูป
โตะ อาจใชในพิธีกรรมฝงศพ เปรียบคลายบานผูตาย              

ศิลปะอียิปต์ (Egyptian Art)
เรื่องราวอารยธรรมของอียิปต์เกิดขึ้น เมื่อประมาณ 4,000ปีก่อนค.ศ.เป็นยุคก่อนประวัติศาสตร์ และก่อนราชวงศ์ (Pre-dynastic) ของอียิปต์ชาวอียิปต์ได้สร้างศิลปวัฒนธรรมขึ้นเพื่อให้สอดคล้องกับปรัชญาในด้านคุณธรรม และตอบสนองความเชื่อว่าวิญญาณของคนตายจะกลับคืนสู่ร่างกายใหม่จึงเป็นมูลเหตุของการทำมัมมี่ (mummy) หีบบรรจุศพทำด้วยหิน สร้างอาคารรูปทรงพีระมิด (Pyramids) ซึ่งเป็นสิ่งก่อสร้างที่ใหญ่ที่สุด อยู่ที่เมืองกีซา ในกรุงไคโร ภายในพีระมิดเป็นที่บรรจุพระศพกษัตริย์คูฟู (Khufu) ฐานพีระมิดยาวด้านละ 756 ฟุต สูง 481 ฟุต กินเนื้อที่ 32 ไร่ สร้างด้วยหินนักกว่าก้อนละ 2 ตัน จำนวน 2,500,000 ก้อนประมาณว่าใช้กำลังคม 1,000,000 คน ผลัดกันสร้างทั้งกลางวัน และกลางคืน ใช้เวลาราว 20 ปี จึงเสร็จ ภายในห้องพีระมิด นอกจากจะบรรจุพระศพของกษัตริย์แล้ว ยังเป็นที่เก็บทรัพย์สมบัติอันมีค่า ผนังภายในตกแต่งด้วยภาพเขียนสี บรรยายด้วยอักษรโบราณ ทำให้ทราบถึงชีวิตความเป็นอยู่ ขนบธรรมเนียมประเพณี และวัฒนธรรมของชาวอียิปต์ชาวอียปต์ยุคก่อนประวัติศาสตร์ได้เป็นอย่างดี        

ยุคโบราณ (Ancient Age)
       ประมาณ 1,400 ปี ก่อน ค.ศ. ค.ศ. 100
1.      ศิลปะตะวันออกใกล้ (Ancient Near Eastem Aft
อียิปต์พัฒนาอารยธรรมเจริญรุ่งเรื่องสุดขีดในลุ่มแม่น้ำไนล์ ส่วนทางฝั่งตะวันออกของทะเล เมดิเตอร์เรเนียน ดินแดนแถบแม่น้ำไทกรีส และยูเฟรทีส ได้แก่ดินแดนบางส่วนของประเทศอิหร่าน ซีเรีย จอร์แดน และซาอุดีอาระเบียในปัจจุบัน เรียกว่าแคว้นเมโสโปเตเมีย (Mesopotamia) หมายถึงดินแดนในลุ่มแม่น้ำสองสาย ชนชาติดังกล่าวมีอารยธรรมที่เจริญรุ่งเรืองเช่นเดียวกัน ประเทศที่อยู่ในวัฒนธรรมนี้ได้แก่ สุเมเรียน บาบิโลเนียน อัสซิเรียน เปอร์เซีย
ลักษณะศิลปกรรมของสุเมเรียนมีความแตกต่างจากศิลปกรรมอียิปต์ คือ อียิปต์ใช้หินเป็นวัสดุก่อสร้าง ส่วนสุเมเรียนใช้อิฐเผาก้อนใหญ่ ๆ มาเรียงกัน ดังนั้นสถาปัตยกรรมส่วนใหญ่จึงมีอิฐเป็นโครงสร้างหลัก สถาปัตยกรรมของสุเมเรียนที่รู้จักกันมากที่สุดคือวิหารใหญ่เรียกว่า ซิกูรัต (Zigurat) เป็นหอสูงแบบตึกระฟ้า มีทางเดินเป็นบันไดวน เป็นสถานที่สำหรับทำพิธีทางศาส

ศิลปะบาบิโลน
อยู่ช่วง 700 ปี ก่อน ค.ศ.
มีสิ่งก่อสร้างที่มีชื่อเสียงมาก และเป็นที่รู้จักโดยทั่วไปคือสวนลอยแห่งบาบิโลน โดยสร้างสวนให้สูงจากพื้นดิน ใช้อิฐซ้อนกันขึ้นไป วางผังลดหลั่นกันและมีความสลับซับซ้อน ตามซุ้มประตูต่าง ๆ ประดับด้วย ภาพสลักขนาดมหึมา ปัจจุบันสวนแห่งนี้ถูกทับถมปรักหักพังไปหมดแล้ว เหลือเฉพาะฐานรากบางส่วนเท่านั้น    
     

ศิลปะเผ่าสุเมเรียล

ศิลปะอัสซิเรียน 
อยู่ในช่วง 900 ปี ก่อน ค.ศ.


         ศิลปกรรมงานแกะสลักที่มีชื่อเสียง เป็นรูปสิงโตกำลังกัดเด็กหนุ่มพบในพระราชวังเมืองนิมรุดในอัสซิเรีย งานชิ้นนี้ปัจจุบันอยู่ในพิพิธภัณฑ์บริติซกรุงลอนดอนประเทศอังกฤษ ประติมากรรมลอยตัวชิ้นสำคัญที่ติดตั้งตามทางเข้าพระราชวังมีขนาดใหญ่โต เป็นรูปสิงโตมีปีก (Winged Lion) ส่วนงานสถาปัตยกรรมของอัสซิเรียน มีอาคารก่ออิฐเป็นโครงสร้างหลัก เป็นรูปโค้งรับน้ำหนักและใช้อิฐและหินก่อเป็นกำแพง ตกแต่งภายในด้วยภาพจิตรกรรมฝาผนัง และกระเบื้องเคลือบเป็นรูปสิงโต 
             
ศิลปะเปอร์เซีย
อยู่ในช่วง 1
,000 ปีก่อน ค.ศ

อารยธรรมของเปอร์เซียมีชื่อเสียงโดดเด่นในด้านสถาปัตยกรรมที่มีการตกแต่งภายในอย่างสวยงาม มีงานประติมากรรมใช้ในการตกแต่งสถาปัตยกรรม ได้แก่ เสาหินวัวคู่ ประดับพระราชวังที่เมืองเปอร์เซโปลิส (Persepolis).

ศิลปะกรีก (Greek Art)



ชาวกรีกเป็นมนุษย์เผ่าพันธุ์อินโด-ยูโรเปียนที่อพยพเคลื่อนย้ายลงสู่แหลมบอลข่าน ตั้งแต่ยุคก่อนประวัติศาสตร์ จนกระทั่ง 2,000 ปี ก่อน ค.ศ. จึงได้ตั้งหลักที่เป็นประเทศกรีซในปัจจุบัน ประกอบด้วย 2 รัฐใหญ่ที่สำคัญคือเอเธนส์ และสปาตา ชาวกรีกมีการศึกษาศิลปวิทยาจนมีความเจริญทางด้านวิทยาศาสตร์ อักษรศาสตร์ ปรัชญา และการปกครอง ศิลปกรรมกรีกมีความเจริญสูงสุด เป็นแบบฉบับในทางศิลปะของมนุษยชาติตั้งแต่ยุคโบราณจนถึงปัจจุบัน

ศิลปกรรมของกรีกที่สำคัญได้แก่ งานสถาปัตยกรรม อาทิ วิหาร สนามกีฬา
หอประชุม และสถานที่แสดงอุปรากร วิหารที่มีชื่อเสียงที่สุดคือ วิหารพาร์เธนอน (Parthenon) สร้างด้วยหินอ่อนสีขาว มีความงดงามมากแม้จะสร้างมาแล้วเป็นเวลานานกว่า 2,000 ปี ก็ไม่มีที่ติว่าควรจะ  แก้ไขข้อบกพร่องส่วนใดส่วนหนึ่งของวิหารพาร์เธนอน ภายในวิหารตกแต่งด้วยภาพแกะสลักอย่างวิจิตรงดงาม
งานสถาปัตยกรรมกรีก
งานสถาปัตยกรรมกรีกแบ่งตามลักษณะหัวเสา 3 แบบใหญ่ ๆ คือ
1. แบบดอริก (Doric)
2. แบบไอโอนิก (Ionic)
        3. แบบคอรินเทียน (Corinthian)

งานทางด้านประติมากรรมของกรีก
นิยมสร้างสรรค์แนวเหมือนจริง (Realistic) โดยเฉพาะสรีระของคนเรา ชาวกรีกถือว่ามีความงดงามยิ่ง ชาวกรีกจึงนิยมปั้นและแกะสลักรูปคนเปลือยกายไว้มากมาย งานประติมากรรมลอยตัวที่มีชื่อเสียง ได้แก่ เทพธิดาวีนัส (Venus)  รูปเทพเจ้าอพอลโล (Apollo) รูปนักกีฬาไมรอน (Myron) ประติมากรรมโลหะสัมฤทธิ์รูปเด็กหนุ่ม เป็นรูปเปลือยที่มีส่วนสัดของร่างกาย ตลอดจนการจัดวางท่วงท่าได้อย่างงดงาม


ศิลปะโรมัน (Roman Art)



     ศิลปะโรมันส่วนใหญ่ได้รับอิทธิพลจากกรีก ซึ่งมีองค์ประกอบที่ประณีต งดงาม แต่ศิลปะของโรมันเน้นความใหญ่โตมโหฬาร มีความหรูหรา สง่างาม มั่นคงแข็งแรง สถาปัตยกรรมโรมันมีชื่อเสียงมาก โรมันเป็นชาติแรกที่คิดค้นสร้างคอนกรีตได้ สามารถใช้คอนกรีตหล่อขึ้นเป็นโครงสร้างรูปโดมช่วยทำให้การก่อสร้างอาคารมีขนาดใหญ่ขึ้น สถาปัตยกรรมของโรมันที่มีชื่อเสียงได้แก่ วิหารแพนเธออน (Pantheon) โคลอสเซียม(Colosseum) เป็นสนามกีฬารูปกลมรีขนาดใหญ่มหึมาสามารถจุคนดูได้ถึง 50,000 คน นอกจากงานสถาปัตยกรรมดังกล่าวแล้ว ชาวโรมันยังสร้างสะพานโค้งข้ามแม่น้ำและส่งน้ำข้ามหุบเขาต่าง ๆ เป็นจำนวนมาก สิ่งก่อสร้างที่มีชื่อเสียงและเป็นที่รู้จักกันทั่วโลก คือ ประตูชัย (Arch of Triumph) สร้างขึ้นเพื่อสรรเสริญ และฉลองชัยของทหารโรมัน โดยสร้างเป็นประตูโค้งขนาดใหญ่สำหรับให้ทหารเดินทัพผ่านเมื่อออกสงครามหรือภายหลังได้รับชัยชนะ ประดับด้วยภาพประติมากรรมนูนสูงอย่างสง่างาม


งานประติมากรรม
งานประติมากรรมของโรมันมีไม่มาก ส่วนใหญ่ขนย้ายมาจากกรีก มีการสร้างสรรค์ขึ้นเองบ้างแต่เป็นส่วนน้อยนอกนั้นทำเลียนแบบกรีกทั้งหมด ผลงานที่พบในกรุงโรมได้แก่ ภาพเลาคูนกับบุตรชายกำลังถูกงูกัด เป็นผลงานที่นำมาจากกรีก นอกนั้นได้แก่ภาพประติมากรรมของบุคคลสำคัญในยุคนั้น เช่น รูปจูเลียสซีซาร์   รูปจักรพรรดิออกัสตัส รูปจักรพรรดิคาราคัลลา  รูปจักรพรรดิเนโร เป็นต้น

งานจิตรกรรม
งานจิตรกรรมของโรมัน มีการค้นพบภาพเขียนจิตรกรรมฝาผนังที่ยังอยู่ในสภาพดีมากมาย ส่วนใหญ่เป็นภาพที่แสดงถึงเรื่องราวในชีวิตประจำวันของชาวโรมันนอกนั้นเป็นภาพในเทพนิยาย เหตุการณ์ในประวัติศาสตร์ลักษณะของภาพยังมีความงามที่สมบูรณ์ เป็นภาพเขียนสีและประดับด้วยหินสี (Mosaic) อย่างประณีต สวยงาม


ศิลปะไบแซนไทน์ (Byzantine Art)
ประมาณ ค.ศ. 455
ศิลปะไบแซนไทน์เป็นศิลปะที่มีลักษณะเชื่อมโยงความคิด และรูปแบบระหว่างตะวันตกกับตะวันออกเข้าด้วยกัน มีศูนย์กลางอยู่ที่กรุงคอนสแตนติโนเปิล ศิลปะมีลักษณะใหญ่โต คงทนถาวร ประดับตกแต่งด้วยการใช้พื้นผิว (Texture) อย่างหลากหลาย  งานสถาปัตยกรรมที่โดดเด่นที่สุดของไบแซนไทน์ คือการทำหลังคาเป็นรูปกลม (Cupula) ต่างจากหลังคาของศิลปะโรมัน ที่ทำเป็นรูปโค้ง (Arch) หลังคากลมแบบไบแซนไทน์ ภายนอกเรียกว่าโดม (Dome) หลังคากลมช่วยให้สามารถสร้างอาคารได้ใหญ่โตมากขึ้น สิ่งก่อสร้างที่เป็นแบบฉบับของศิลปะดังกล่าว ได้แก่ โบสถ์เซนต์โซเฟีย ในกรุงคอนสแตนติโนเปิล โบสถ์เซนต์มาร์โค ที่เมืองเวนิส ประเทศอิตาลี

ยุคกลาง (Middle Age)
ประมาณ ค.ศ. 300 ค.ศ. 1300
ความเจริญทางด้านศิลปะในยุคกลาง เป็นการสร้างสรรค์โดยวัดและคริสต์ศาสนิกชน ซึ่งมีความมั่นคงทางเศรษฐกิจและศิลปวิทยา ศิลปะของคริสต์ศาสนาจึงเจริญรุ่งเรือง โดยเฉพาะสิ่งก่อสร้างที่เกี่ยวกับวัดคาทอลิก มีลักษณะแตกต่างกันออกไปตามแต่ละท้องถิ่น แต่ส่วนใหญ่สิ่งก่อสร้างจะมีขนาดเล็กลง นิยมสร้างด้วยหินและปูผิวด้วยอิฐ สร้างสุสานด้วยการเจาะหินหน้าผา  กลุ่มศิลปะที่อยู่ในยุคกลางได้แก่ ศิลปะโกติก สมัยฟื้นฟูศิลปวิทยา ศิลปะบารอก และรอกโกโก

ศิลปะโกติก (Gothic Art)
ศิลปะโกติกนิยมแสดงเรื่องราวทางศาสนาในแนวเหมือนจริง (Realistic Art) ไม่ใช้สัญลักษณ์เหมือนศิลปะยุคก่อน งานสถาปัตยกรรมมีโครงสร้างทรงสูง มียอดหอคอยรูปทรงแหลมอยู่ข้างบนทำให้ตัวอาคารมีรูปร่างสูงระหงขึ้นสู่เพดาน ซุ้มประตู หน้าต่าง ช่องลม มีส่วนโค้งแปลกกว่าศิลปะแบบ-อื่น

ศิลปะสมัยฟื้นฟูศิลปวิทยา (Renaissance Art)
สงครามครูเสดนำความเปลี่ยนแปลงมาสู่ยุโรปตะวันตกอย่างใหญ่หลวง ระบอบการปกครองแบบศักดินาหมดสิ้นไป แว่นแคว้นต่าง ๆ เริ่มมีความเป็นอิสระ ศิลปินได้นำเอาแบบอย่างศิลปะชั้นสูงในสมัยกรีกและโรมัน มาสร้างสรรค์ได้อย่างอิสระเต็มที่ งานสถาปัตยกรรมมีการก่อสร้างแบบกรีกและโรมันเป็นจำนวนมาก ลักษณะอาคารมีประตูหน้าต่างเพิ่มมากขึ้น ประดับตกแต่งภายในด้วยภาพจิตรกรรมและประติมากรรมอย่างหรูหรา สง่างาม งานสถาปัตยกรรมที่ ยิ่งใหญ่ในสมัยนั้นฟื้นฟูศิลปวิทยา ได้แก่ มหาวิหารเซนต์ปีเตอร์ (St. Peter) ในกรุงโรม เป็นศูนย์กลางของคริสต์ศาสนาโรมันคาทอลิก วิหารนี้มีศิลปินผู้ออกแบบควบคุมงานก่อสร้างและลงมือตกแต่งด้วยตนเอง ต่อเนื่องกันหลายคน เช่น โดนาโต บรามันโต (Donato Bramante ค.ศ. 1440 1514) ราฟาเอล (Raphel ค.ศง 1483 1520) ไมเคิล แองเจลโล (Michel Angelo ค.ศ. 1475 1564) และโจวันนิ เบอร์นินี (Giovanni Bernini ค.ศ. 1598 1680)

            คริสต์ศตวรรษที่ 14 ยุโรปมีความตื่นตัวทางด้านการพาณิชย์และแสวงหาดินแดนในโลกใหม่อันนำมาซึ่งลัทธิการล่าอาณานิคม ส่วนในทางศิลปะนั้นศิลปินมีความกล้าที่จะแหวกวงล้อมของอิทธิพลศิลปะโกธิคไปสู่การสร้างสรรค์สิ่งใหม่ๆ ส่วนในทางวิทยาศาสตร์และการประดิษฐ์ มีการค้นพบระบบสุริยจักรวาลของโคเปอร์นิคัส
การค้นพบกระบวน การพิมพ์หนังสือของ กูเตนเบอร์กและฟุสท์  อิตาลี ถือว่าเป็นศูนย์กลางของความเจริญก้าวหน้าที่สำคัญ โดยเฉพาะในเรื่องของศิลปกรรมศิลปะในสมัยฟื้นฟูศิลปะและวิทยาการ เป็นยุคสมัยที่มีคุณค่ายิ่งต่อวิวัฒนาการทางจิตรกรรมของโลก คือ ความมีอิสระในการสร้างสรรค์ศิลปะของมนุษย์ ความมีลักษณะเฉพาะตัวของศิลปิน กล้าที่จะคิดและแสดงออกตามแนวความคิดที่ตนเองชอบและต้องการแสวงหา  นับเป็นบันไดก้าวแรกที่จะนำทางไปสู่การสร้างสรรค์งานจิตรกรรมสมัยใหม่ในเวลาต่อมา งานจิตรกรรมมีความตื่นตัวและเจริญก้าวหน้าทางเทคนิควิธีการเป็นอย่างมาก ได้มีการคิดค้นการเขียนภาพลายเส้นทัศนียภาพ ( Linear Perspective ) ซึ่งนำไปสู่การเขียนภาพทิวทัศน์ที่งดงาม นอกจากนี้ศิลปินได้พยายามศึกษากายวิภาคด้วยการผ่าตัดศพ พร้อมฝึกวาดเส้น สรีระและร่างกายมนุษย์อย่างละเอียด แสดงกระดูกและกล้ามเนื้อที่ถูกต้อง     
ความเจริญก้าวหน้าในงานจิตรกรรมสีน้ำมันประสบความสำเร็จอย่างสูงในยุคนี้ด้วย

1. โบสถ์เซนต์ปีเตอร์ (St.Peter) ค.ศ.1506-1546
บรามานเต  เป็นสถาปนิกผู้ออกแบบและคุมการก่อสร้าง แต่บรามานเตถึงแก่กรรมก่อนงานจะเสร็จ จึงเป็นภาระหน้าที่ของสถาปนิกอีกหลายคน จนกระทั่ง ค.ศ.1546   มิเคลันเจโล Michelangelo  Buonarrotii
ได้รับการติดต่อจากสันตะปาปาจอห์นปอลที่ 3ให้เป็นสถาปนิกรับผิดชอบออกแบบก่อสร้างต่อไป  โดยเฉพาะอาคารที่อยู่ตรงกลาง มิเคลันเจโลได้แรงบันดาลใจมาจากวิหารแพนธีออนของจักรวรรดิโรมัน 

2. ภาพกำเนิดอาดัม (ค.ศ.1508-1512 )มิเคลันเจโล  บูโอแนร์โรตี  Michelangelo  Buonarrotiiเป็นงานจิตรกรรมฝาผนังที่เขียนไว้ตกแต่งเพดานโบสถ์ซิสทีน ด้วยวิธีการวาดภาพปูนเปียก Fresco คือเขียนภาพในขณะที่ปูนยังไม่แห้ง เพื่อสีจะได้ซึมเข้าไปในเนื้อปูน อันมีผลต่อความคงทน


3. ภาพโมนา ลิซา Mona Lisa (ค.ศ.1503-1505)เลโอนาร์โด ดา วินชี Leonardo Da Vinciเป็นภาพเขียนสีน้ำมันบนผ้า ขนาด 30.5 X 21 นิ้ว แสดงให้เห็นถึงความสามารถในการถ่ายทอดแบบเลียนแบบธรรมชาติ 
การพิถีพิถันเรื่องการจัดวางมือที่งดงาม แววตาและรอยยิ้มอย่างมีเลศนัย การนำธรรมชาติมาเป็นฉากหลังและสร้างมิติใกล้ไกลแบบวิทยาศาสตร์การเห็น (ทัศนียภาพหรือPerspective) เลโอนาร์โด ดา วินชี เป็นผู้ริเริ่มการเขียนภาพแบบแสดงค่าตัดกันระหว่างความมืดกับความสว่าง ที่เรียกว่า
คิอารอสกูโร( Chiaroscuro)

ภาพอาหารมื้อสุดท้าย The Last Supper  เป็นงานจิตรกรรมที่มีชื่อเสียงอีกภาพหนึ่งของเลโอนาร์โด ดา วินชี


4. ดาวิด David  ( ค.ศ.1501-1504 ) มิเคลันเจโล           รูปสลักรูปดาวิด เป็นหินอ่อน มีความสูงถึง 13 ฟุต 5 นิ้ว เป็นการถ่ายทอดรูปแบบ ที่มีกรีกและโรมันเป็นแนวทางจึงทำให้รูปดาวิดมีลักษณะทางกายภาพสอดคล้องกับอุดมคติของกรีกและโรมันที่เน้นความสมบูรณ์ทางสรีระ การจัดท่วงท่าที่งดงาม ด้วยการใช้ขาข้างหนึ่งรับน้ำหนัก  อีกข้างหนึ่งงอพัก แขนข้างหนึ่งห้อยขนาน อีกข้างหนึ่งยกขึ้นในอิริยาบถที่ไม่ซ้ำกับแขนอีกข้างรูปดาวิด ให้ความรู้สึกที่สง่างาม มีท่วงท่าที่เด็ดเดี่ยวกล้าหาญ

4.) ศิลปะบาโรก ( Baroque ) ค.ศ.1580 - 1750เป็นยุคที่มีการสร้างสรรค์งานศิลปะเพื่อการแสดงออกที่เรียกร้องความสนใจมากเกินไปมุ่งหวังความสะดุดตาราวกับจะกวักมือเรียกผู้คนให้มาสนใจศาสนา การประดับตกแต่งมีลักษณะฟุ้งเฟ้อเกินความพอดี
1. พระราชวังแวร์ซายล์ส Versailles (ค.ศ.1661 - 1691) สร้างขึ้นด้วยหินอ่อน ในสมัยพระเจ้าหลุยส์ที่ 14  ของประเทศฝรั่งเศส ใช้เงินไปประมาณ 500 ล้านฟรังส์ จุคนได้ประมาณ 10,000 คน เพื่อประกาศให้นานาประเทศได้เห็นถึงอำนาจและบารมีของพระองค์

2. ความปลาบปลื้มยินดีของเซนต์เทเรซาSt.Theresa  (ค.ศ.1645 - 1652) ศิลปิน เบอร์นินีเป็นงานประติมากรรมที่แสดงอาการความรู้สึกเคลื่อนไหวมีชีวิตประหนึ่งว่ามีลมหายใจ  ผลงานชิ้นนี้บ่งบอกถึงการทำงานอย่างมีการวางแผนเพื่อให้ผลงานและพื้นที่ทั้งหมดอยู่ร่วมกันได้อย่างงดงามและกลมกลืน

3. ภาพยามกลางคืน In the night ( ค.ศ.1664 ) โดย เรมบรานด์ท แวน ไรน์ Rembrandt van Rijn เป็นงานจิตรกรรมที่มีการใช้แสงเงากำหนดพื้นที่สว่างบนเงาเข้มได้อย่างยอดเยี่ยม


5.) ศิลปะโรโคโค ( Rococo ) ค.ศ. 1700 - 1789เป็นผลงานศิลปะที่สะท้อนความโอ่อ่า หรูหราประดับประดาตกแต่งที่วิจิตรละเอียดละออส่งเสริมความรื่นเริง ยินดี ความรัก กามารมณ์

1. ภาพกำเนิดวีนัส ( ค.ศ.1754 ) โดย บูเชร์   เป็นศิลปินผู้มีฐานะและบทบาทสำคัญโดยเป็นผู้นำที่รับผิดชอบทางด้านจิตรกรรมของราชสำนักผลงานจิตรกรรมของเขาแสดงสีสันที่สวยงาม สอดคล้องกลมกลืนกับเรื่องราว เสนอเรื่องราวที่ให้ความรื่นเริง ชวนฝัน อิ่มสุข ซึ่งรสนิยมดังกล่าวมีปรากฏให้เห็นอยู่ในพระราชวังแวร์ซายล์ส

2. แบจิอัส  โดย ฟอลโคเนท์  Etienne Maurica Falconet ( ค.ศ.1760-1780 )  เป็นประติมากรรมหินอ่อน ที่ใช้ตกแต่งมีขนาดสูงเพียง 38 ซม.ลักษณะบ่งบอกถึงการเป็นส่วนหนึ่งของกรีก-โรมันสมัยฟื้นฟูศิลปะและวิทยาการ จนถึงสมัยบาโรก ซึ่งนิยมแสดงออกในรูปแบบที่เลียนแบบจากธรรมชาติ นอกจากนี้ยังสะท้อนให้เห็นถึงความกลมกลืนกับคตินิยมของสมัยโรโคโค โดยเฉพาะทางด้านเรื่องราวและการจัดท่าทางที่มุ่งหวังทำให้เกิดความรู้สึกชื่นชมในสิ่งที่ธรรมชาติมอบให้กับมนุษย์



6.) ศิลปะคลาสสิกใหม่ ( Neoclassic )  ค.ศ. 1780 - 1840เป็นลัทธิทางศิลปะที่เก่าแก่ที่สุด ได้ฟื้นฟูศิลปะคลาสสิกอันงดงามของกรีกและโรมันกลับมาสร้างใหม่ปรัชญาที่ว่าศิลปะ คือ ดวงประทีปของเหตุผล 
โดยเน้นความประณีต ละเอียดอ่อน นุ่มนวล และเหมือนจริงด้วยสัดส่วนและแสงเงา   เป็นช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อของศิลปะสมัยกลางและศิลปะสมัยใหม่ เป็นประตูของประวัติศาสตร์บานสำคัญที่ทำหน้าที่แง้มไปสู่โลกแห่งเสรีภาพอันมีผลต่อการคิดค้นสร้างสรรค์ศิลปะอย่างกว้างขวางในเวลาต่อมา

1. ภาพความตายของโซคราติส  โดย ดาวิด David   ค.ศ.1787  แสดงให้เห็นความสมจริงตามแบบตามองเห็น การกำหนดมิติ น้ำหนัก แสงเงา ยังอาศัยอิทธิพลดั้งเดิมของศิลปะสมัยกลางมีการนำลักษณะโครงสร้างทางสถาปัตยกรรมสมัยกรีกและโรมันมาสร้างเป็นภาพพื้นหลังแสดงเรื่องราวในสมัยกรีกและโรมันซึ่งจะแฝงไว้ด้วยความรักชาติ ความเสียสละ สำนึกรับผิดชอบต่อประชาชน




2. ภาพคำสาบานของพวกฮอราติไอ โดย ดาวิด David  ค.ศ.1784เป็นเรื่องราวความรักชาติของนักรบโรมัน 3 คนที่รับดาบจากบิดา เพื่อสู้รบกับศัตรู โดยยึดถือผลประโยชน์ของรัฐ เป็นหลัก ส่วนครอบครัว คนรักและความผูกพันระหว่างพี่น้องเป็นผลประโยชน์ด้านรอง


งานจิตรกรรมและประติมากรรมในสมัยฟื้นฟูศิลปวิทยา ศิลปินสร้างสรรค์ในรูปความงามตามธรรมชาติ และความงามที่เป็นศิลปะแบบคลาสสิกที่เจริญสูงสุด ซึ่งพัฒนาแบบใหม่จากศิลปะกรีกและโรมัน ความสำคัญของศิลปะสมัยฟื้นฟู มีความสำคัญต่อการสร้างสรรค์ศิลปะเกือบทุกสาขา โดยเฉพาะเทคนิคการเขียนภาพ การใช้องค์ประกอบทางศิลปะ (Composition) หลักกายวิภาค (Anatomy) การเขียนภาพทัศนียวิทยา (Perspective Drawing) การแสดงออกทางศิลปะมีความสำคัญในการพัฒนาชีวิต สังคม ศาสนาและวัฒนธรรม จัดองค์ประกอบภาพให้มีความงาม มีความเป็นมิติ มีความสัมพันธ์กับการมองเห็น ใช้เทคนิคการเน้นแสงเงาให้เกิดดุลยภาพ มีระยะตื้นลึก ตัดกันและความกลมกลืน เน้นรายละเอียดได้อย่างสวยงาม ศิลปินที่สำคัญในสมัยฟื้นฟูศิลปวิทยาที่สร้างสรรค์งานไว้เป็นอมตะเป็นที่รู้จักกันทั่วโลก  

ศิลปินที่สำคัญในสมัยฟื้นฟูศิลปวิทยาที่สร้างสรรค์
งานไว้เป็นอมตะเป็นที่รู้จักกันทั่วโลก
เลโอนาร์โด ดาวินชี (Leonardo da Vinci) ผู้เป็นอัจริยะทั้งในด้านวิทยาศาสตร์ แพทย์ กวี ดนตรี จิตรกรรม ประติมากรรม และสถาปัตยกรรม ผลงานที่มีชื่อเสียงของดาวินชี ได้แก่ ภาพอาหารมื้อสุดท้ายของพระเยซู (The last Supper) ภาพพระแม่บนก้อนหิน (The Virgin on the Rock) ภาพพระแม่กับเซนต์แอน (The Virgin and St. Anne) และภาพหญิงสาวผู้มีรอยยิ้มอันลึกลับ (mystic smile) ที่โด่งดังไปทั่วโลก คือ ภาพโมนาลิซา (Mona Lisa)
ไมเคิล แองเจลโล (Michel Angelo) เป็นศิลปินผู้มีความสามารถ และรอบรู้ในวิทยาการแทบทุกแขนง โดยเฉพาะรอบรู้ในด้านจิตรกรรม ประติมากรรม และสถาปัตยกรรม เป็นสถาปนิกผู้ร่วมออกแบบและควบคุมการก่อสร้างมหาวิหารเซนต์ปีเตอร์ งานประติมากรรมสลักหินอ่อนที่มีชื่อเสียงและเป็นผลงานชิ้นเอก ได้แก รูปโมเสส (Moses) ผู้รับบัญญัติสิบประการจากพระเจ้า รูปเดวิด (David) หนุ่มผู้มีเรือนร่างที่งดงาม รูปพิเอตตา (Pietta) แม่พระอุ้มศพพระเยซูอยู่บนตัก ภาพเขียนของไมเคิล แองเจลโลชิ้นสำคัญที่สุด เป็นภาพบนเพดานและฝาฝนังของโบสถ์ซิสติน (Sistine) ในพระราชวังวาติกัน ประเทศอิตาลีในปัจจุบัน
ราฟาเอล (Raphael) เป็นผู้หนึ่งที่ร่วมออกแบบ ควบคุมการก่อสร้าง และตกแต่งมหาวิหารเซนต์ปีเตอร์ มีผลงานจิตรกรรมที่สำคัญเป็นจำนวนมาก ที่มีชื่อเสียงและเป็นที่รู้จักโดยทั่วไป ได้แก่ ภาพแม่พระอุ้มพระเยซู (Sistine Madonna) ภาพงานรื่นเริงของทวยเทพ (Galatea)  ศิลปะสมัยฟื้นฟูศิลปวิทยาแพร่หลายออกไปจากประเทศอิตาลีสู่ประเทศต่าง ๆ ในยุโรปตะวันตกอย่างรวดเร็ว และมีอิทธิพลต่อศิลปะในประเทศนั้น ๆ อย่างมากมาย ทำให้เกิดสกุลศิลปะ และศิลปินที่สำคัญในท้องถิ่นนั้น ๆ เป็นจำนวนมาก ผลงานอันยิ่งใหญ่เหล่านี้ เรากล่าวได้ว่ามนุษยชาติเป็นหนี้บุญคุณบรรพชนแห่งสมัยฟื้นฟูศิลปวิทยาอยู่จนปัจจุบันนี


ศิลปะสมัยใหม่ ( Modern Art )
1.) ศิลปะจินตนิยม ( Romanticism ) ประมาณ ค.ศ. 1800  1900 ก่อเกิดในอังกฤษและฝรั่งเศสช่วงระยะเวลาที่ใกล้เคียงกัน มีทรรศนคติที่ต้องการความเป็นอิสระในการแสดงออกที่ศิลปินต้องการมากกว่าการเดินตามกฏเกณฑ์และแบบแผนทางศิลปะ ดังที่ศิลปินลัทธิคลาสสิกใหม่ยังยึดถืออยู่เป็นศิลปะที่เน้นอารมณ์อยู่เหนือเหตุผล มุ่งสร้างสรรค์งานที่ตื่นเต้น เร้าใจ ก่อให้เกิดอารมณ์สะเทือนใจแก่ผู้ชม
1. ภาพ 3 พฤษภาคม 1808
โดย โกยา Francisco Goya ( ค.ศ.1814 )เป็นภาพแสดงเหตุการณ์ปฏิวัติในฝรั่งเศส

\

2. ภาพ เสรีภาพนำหน้าประชาชนโดย
 เดอลาครัวซ์ Eugene Delacroix ( ค.ศ.1830 )เดอลาครัวซ์เป็นศิลปินชาวฝรั่งเศสที่พัฒนาตนเองมาจากการศึกษาศิลปะในอดีตจนกลายเป็นผู้นำลัทธิจินตนิยม งานจิตรกรรมชิ้นนี้เป็นภาพที่ได้แรงบันดาลใจมาจากเหตุการณ์การปฏิวัติในฝรั่งเศส จะเห็นว่าภาพนี้สามารถส่งผลกระทบต่อความรู้สึกได้อย่างน่าตื่นเต้นนับตั้งแต่การเลือกเรื่องราว การจัดภาพ การกำหนดแสงเงาที่ตัดกันเอกภาพของทิศทางของกลุ่มคนยืนขัดแย้งกับทิศทางของผู้บาดเจ็บล้มตาย การให้ความสำคัญในท่าทางอิริยาบถของทุกคน การถ่ายทอดอารมณ์ความรู้สึกผ่านท่าทาง ใบหน้า และดวงตา

3. ภาพ การอับปางของแพเมดูซา โดย เจริโคท์ Theodore Gericault ( ค.ศ.1819) เรื่องราวที่เขียนเกิดจากการได้รับทราบเหตุการณ์การประสบอุบัติเหตุเรือแตกของเรือลำหนึ่ง โดยมีผู้รอดชีวิตจำนวนหนึ่งต้องเผชิญกับภัยอย่างอ้างว้างบนแพอันจำกัดกลางท้องทะเลแห่งคลื่นลมและความหิวมีวิธีการจัดภาพโดยการกำหนดแสงเงาแบบสว่างจัดมืดจัดตัดกันอย่างรุนแรงอิริยาบถของผู้คนได้รับการจัดท่าทางอย่างสมบทบาทการแสดงออกบนใบหน้าและท่าทางทำให้เกิดความรู้สึกที่หลากหลายนับตั้งแต่ลีลาที่อ่อนล้าโรยแรงจนถึงความตื่นเต้นเมื่อแลเห็นเกาะอยู่ลิบๆ

4. ภาพ พายุหิมะ โดย เจ เอ็ม ดับบลิว เทอร์เนอร์ Joseph Mallord William Turner ( ค.ศ. 1841 - 1842 )เทอร์เนอร์เป็นศิลปินชาวอังกฤษที่ทำงานด้านปรากฏการณ์ทางธรรมชาติและทิวทัศน์ ในภาพพายุหิมะเป็นการถ่ายทอดบรรยากาศของเรือกลไฟที่ใกล้จะอับปางท่ามกลางคลื่นลมกลางทะเล  



2.) ศิลปะสัจนิยม ( Realisticism ) กลางคริสต์ศตวรรษที่ 19ศิลปินในยุคนี้ได้แก่ กุสตาฟ คูร์เบท์,ฌอง ฟรังซัวส์ มิล์เลท์
1. ภาพผลงานจิตรกรรมชื่อ ภาพร่อนข้าวโพด The Corn Sifters     วาดโดย กุสตาฟ  คูร์เบท์
Gustave Courbet ค.ศ.1855  


2. ภาพผลงานจิตรกรรมชื่อ ภาพคนเก็บข้าวตก  The Gleaners    วาดโดย ฌอง ฟรังซัวส์  มิล์เลท์
 Jean-Francois Millet ค.ศ.1857


3.) ศิลปะลัทธิประทับใจ ( Impressionism ) ศิลปะแห่งความงดงามของประกายแสงและสี
ศิลปะลัทธิประทับใจ  จะแสดงภาพทิวทัศน์บก ทะเล ริมฝั่ง เมืองและชีวิตประจำวันที่รื่นรมย์ เช่น การสังสรรค์ บัลเลต์ การแข่งม้า สโมสร นิยมเขียนภาพนอกห้องปฏิบัติงาน
รูปแบบของศิลปะลัทธิประทับใจ
พยายามแสดงคุณสมบัติของแสงสี อันเป็นผลมาจากความรู้ เกี่ยวกับแสงจากสเปกตรัมและสี ซึ่งเป็นผลผลิตจากความก้าวหน้าทางวิทยาศาสตร์ โดยพยายามบันทึกการสะท้อนแสงบนพื้นผิวของวัตถุรวมทั้งสภาพบรรยากาศในแต่ละช่วงเวลา ไม่สนใจต่อการแสดงรูปทรงให้โดดเด่นใช้สีสดใสตามสีของสเปกตรัม ระบายด้วยรอยแปรงหยาบๆทับซ้อนกันหลายครั้ง
 ศิลปินนิยมใช้สีเหลืองในบริเวณแสง สีม่วงในบริเวณเงา
ไม่นิยมใช้สีดำหรือสีน้ำตาล เพราะเป็นสีที่ไม่อยู่ในสเปกตรัม
ศิลปินในยุคนี้ได้แก่ มาเนท์,โคลด  โมเนท์, เรอนัวร์ ,เดอร์กาส์,

พีส์ซาร์โร,ซิสเลย์ รวมทั้งประติมากร โรแดง และ รอสโซ
1.ภาพผลงานจิตรกรรมชื่อ อาหารกลางวันบนสนามหญ้าLunch on the Grass  
 วาดโดย มาเนท์ Edouard Manet  ค.ศ.1863เป็นภาพที่สร้างความแปลกและตื่นตระหนกให้แก่ชาวฝรั่งเศสเป็นอันมากเพราะเป็นภาพที่ผู้ชายแต่งกายเรียบร้อยและผู้หญิงเปลือยกาย


  2. ภาพผลงานจิตรกรรมชื่อ ความประทับใจเมื่อดวงอาทิตย์ขึ้นImpression Sunrise     วาดโดย โคลด  โมเนท์ Claude Monet  ค.ศ.1872เป็นภาพที่เป็นที่มาของคำว่า " ประทับใจ " ซึ่งทำให้เกิดเป็นศิลปะลัทธิประทับใจขึ้น

 3. ภาพผลงานจิตรกรรมชื่อ สวนที่จิแวร์นี  Garden at Giverny        วาดโดย โคลด  โมเนท์ Claude Monet 

4. ภาพผลงานจิตรกรรมชื่อ ห้องเรียนเต้นรำ The Dancing Class วาดโดย เดอร์กาส์ Edgar Degas


5. ภาพผลงานประติมากรรมชื่อ นักคิด The Thinker  โดย โรแดง Auguste Rodinเป็นงานประติมากรรมที่แสดงพื้นผิวที่ขรุขระแสดงถึงอารมณ์เก็บกดและทรมานภายในใจ




4.) ศิลปะลัทธิประทับใจใหม่ ( Neo - Impressionism )สีจากแสงสเปกตรัมมาสู่อนุภาคเกิดเทคนิคการระบายสีเป็นจุด ( Pointilism ) ซึ่งเป็นผลมาจากความเชื่อทางฟิสิกส์ว่า แสง คือ อนุภาค  โดยการระบายสีให้เกิดริ้วรอยพู่กันเล็กๆ ด้วยสีสดใส จุดสีเล็กๆ นี้จะผสานกันในสายตาของผู้ดู มากกว่าการผสมสีอันเกิดจากการผสมบนจานสี

 ศิลปินคนสำคัญในยุคนี้ ได้แก่ จอร์จส์   เซอราท์,คามิลล์ พีส์ซาร์โร,พอล ซิยัค
1. ภาพผลงานจิตรกรรมชื่อ บ่ายวันอาทิตย์บนเกาะลากรองด์แจตท์  Sunday Afternoon on the Island of La Grande Jatteโดย จอร์จ  เซอราท์ Georges Seurat ค.ศ.1886

 2. ภาพผลงานจิตรกรรมชื่อ ถนนมองท์มาร์ทยามพลบค่ำ  Boulevard Montmartre in the Evening 
โดย คามิลล์ พีส์ซาร์โร Camille Pissaro ค.ศ.1897

4. ศิลปะลัทธิประทับใจยุคหลัง ( Post - Impressionism )
  ศิลปินในยุคนี้ ได้แก่ พอล   เซซานน์,วินเซนต์   ฟานโกะ,พอลโกแกง และ ทูลูส - โลเทรค
  1. ภาพผลงานจิตรกรรม ชื่อ ห้องนอนที่อาลส์ The Bedroom at Arles  วาดโดย วินเซนต์  ฟานโกะ Vincent van Gogh 

  2. ภาพผลงานจิตรกรรมชื่อ ณ มูแลง รูจ วาดโดย ทูลูส - โลเทรค Henri de Toulouse-Lautrec 

3. ภาพผลงานจิตรกรรมชื่อ ราตรีประดับดาว The Starry Night วาดโดย  วินเซนต์  ฟานโกะ  Vincent vanGogh ค.ศ.1889

4. ภาพผลงานจิตรกรรมชื่อ หุ่นนิ่งกับแอปเปิ้ล Still Life with Apples โดย พอล   เซซานน์ Paul  Cexanne  ค.ศ.1890 - 1900

5. ภาพผลงานจิตรกรรมชื่อ เมื่อไรเธอจะแต่งงาน When are You to be Married โดย  พอล   โกแกง  Paul Gauguin ค.ศ. 1892

  6.) ศิลปะลัทธิบาศกนิยม ( Cubism )  ค.ศ. 1907 - 1910
ศิลปินคนสำคัญในยุคนี้ ได้แก่ พาโบล   ปิคาสโซ,จอร์จส์   บราคและ เฟอร์นานด์   เลเจร์
1.  ภาพผลงานจิตรกรรมชื่อ  หญิงสาวแห่งอาวิยอง Les Demoiselles d'Avignon          โดย พาโบล   ปิคาสโซ  Pablo Picasso ค.ศ. 1807




2. ภาพผลงานจิตรกรรมชื่อ  ชาวโปรตุเกส The Portuguese  โดย จอร์จส์   บราค Georges Braque   

3. ภาพผลงานจิตรกรรมชื่อ  ผู้หญิงสามคน โดย  เฟอร์นานด์ เลเจร์ Fernand  Leger  ค.ศ. 1921

   7.) ศิลปะลัทธิเหนือจริง (Surrealism )
ศิลปกรรมที่เปิดเผยความฝันและจิตใต้สำนึก การแสดงออกทางจิตรกรรมของศิลปินลัทธิเหนือจริงมีหลายแนวทางเช่นการสร้างสรรค์รูปทรงจากจิตใต้สำนึก การใช้รูปทรงจากโลกที่มองเห็นได้เป็นตัวสื่อในการแสดงออกอาจเป็นเรื่องของความฝันฝันร้าย อารมณ์เก็บกด  เรื่องราวจากตำนาน  เรื่องเร้นลับ  การท้าทาย  ศาสนา การเปรียบเทียบสิ่งที่แปลกแตกต่างกัน แสดงออกในสภาพที่เพ้อฝัน  น่าตื่นตระหนก  น่าหวาดกลัว  แดนสนธยา  เป็นการใช้สีและสร้างบรรยากาศที่ลึกลับ

1. ภาพผลงานจิตรกรรมชื่อ  วันเกิด Birthday  โดย  มาร์ค     ชากาลล์ Marc  Chagall  ค.ศ 1915

 2. ภาพผลงานจิตรกรรมชื่อ  เทศกาลตลก โดย โยฮัน   มิโร Joan  Miro ค.ศ 1924 - 25

      3. ภาพผลงานจิตรกรรมชื่อ  ความทรงจำที่ฝังแน่นThe Persistence of Memory  โดย  ซัลวาดอร์   ดาลี Salvador  Dali ค.ศ. 1931

8.) ศิลปะลัทธินามธรรม ( Abstractism ) ศิลปะไร้รูปลักษณ์
 ศิลปินแสดงออกโดยการสกัดรูปทรงจากธรรมชาติให้ง่ายปล่อยให้รูปทรงปรากฏขึ้นตามลีลาหรือกลวิธีในการแสดงออก  บางครั้งก็สร้างรูปทรงให้ปรากฏขึ้นจากความคิดอันเป็นนามธรรม
 ศิลปินสร้างเส้น รูปทรง สี จากการใช้ญาณวินิจฉัย โดยไม่ต้องพึ่งเส้นรูปทรง สี จากธรรมชาติ การแสดงออกเป็นผลจากพลังจิตใต้สำนึก ตามเส้นทางของจิตวิทยา กลวิธีของการแสดงออก ได้แก่ การใช้สีราด หยด หยอด ใช้แปรงละเลง ระบายอย่างหยาบกร้านการสาดสี เป็นต้น
 ศิลปินคนสำคัญ ได้แก่ แจคสัน   พอลลอค,วาสสิลี   แคนดินสกี, พีท   มองเดรียง
     1. ภาพผลงานจิตรกรรมชื่อ  องค์ประกอบสีแดง เหลือง และน้ำเงิน โดย พีท   มองเดรียง Piet  Mondrian  ค.ศ.1921


      2.  ภาพผลงานจิตรกรรมชื่อ เอกนัย  Convergence โดย  แจคสัน   พอลลอคJackson  Pollock ค.ศ.1952


     3. ภาพผลงานจิตรกรรมชื่อ  ความปิติ Small Pleasure โดยวาสสิลี  แคนดินสกี Wassili  Kandinsky ค.ศ. 1913